2 กรกฎาคม 2553

โกหก

มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการกล่าวเท็จเท็จหรือมุสาคือไม่เป็นความจริง กล่าวเท็จคือพูดไม่จริง หรือพูดปดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ไม่รู้ไม่เห็น พูดว่ารู้ ว่าเห็น ไม่ได้ทำ พูดว่าทำ หรือได้รู้ ได้เห็น ได้ทำ พูดปฏิเสธเสียไม่ใช่พูดด้วยปากเท่านั้น เขียนหนังสือเท็จปดเขา หรือแสดงอาการให้เขาเข้าใจผิด เช่นเขาถามว่าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ไหม ความจริงก็เห็นแต่สั่นศรีษะ เพื่อให้เข้าใจว่าไม่เห็น เรียกว่ากล่าวเท็จหรือมุสาวาทเหมือนกัน การแสดงความเท็จนั้น มักใช้กันเป็นส่วนมาก จึงเรียกว่ามุสาวาทแต่ก็หมายถึงทุกๆ วิธี ที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจากความจริง เช่น ที่เรียกว่าปด ได้แก่มุสาจังๆ เพื่อให้แตกกัน เพื่อหลอก เพื่อยอยก เพื่อประจบสอพลอ เป็นต้นทนสบถสาบาน เพื่อให้เขาเชื่อในคำเท็จทำมารยา เช่น ไม่เป็นอะไรแกล้งทำเป็นไข้ทำเลศนัย เช่น ทำกลอุบายหลอกหลวง หรือล่อให้เขาตายใจให้เชื่อผิดๆ หรือทำแย้มพรายให้เขาคิดต่อไปผิดๆเสริมความ คือขยายให้มากกว่าความเป็นจริง เช่นคนที่หนึ่งพูดเพียงว่า ไปเยี่ยมเพื่อนป่วยคนที่สองพูดต่อไปว่าเพื่อนคนนั้นป่วยมาก คนที่สามพูดต่อไปอีกว่า เพื่อนคนนั้นป่วยมีอาการร่อแร่อำความ คือพูดไม่หมด เว้นความบางตอนไว้เสียเพื่อปกปิด เช่นกลับบ้านผิดเวลาผู้ปกครองถามว่าไปไหนมาก็ตอบว่าไปบ้านเพื่อน ไปบ้านเพื่อนจริงเหมือนกัน แต่ก็ได้พากันไปเที่ยวที่อื่นอีกด้วยเพราะศีลข้อนี้ประสงค์ให้รักษาประโยชน์ของกันและกันด้วยความจริงคือมุ่งหมายให้ไม่เบียดเบียนกันด้วยวาจา อาศัยความมุ่งหมายดังกล่าว เมื่อพูดทำลายประโยชน์ของกันและกันเช่น พูดถึงด้วยเจตนาร้าย เป็นการทับถม ส่อเสียดนินทาว่าร้าย เพื่อกดให้เขาเลวลงบ้าง ยกตนขึ้นบ้างถึงจะเป็นความจริง ก็ถือว่าเป็นการผิด เพราะผิดความมุ่งหมายของศีลที่บัญญัติขึ้นมีกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าเองตรัสวาจาที่จริง และมีประโยชน์ ทั้งถูกเหมาะแก่การเวลาและนอกจากที่ทรงบัญญัติศีล ให้เว้นจากพูดมุสาแล้ว ยังตรัสให้เว้นการพูดส่อเสียด พูดคำหยาบและพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์ด้วยมุสาวาททุกวิธีที่กล่าวนี้ มีโทษน้อย ปานกลางหรือมากตามระดับแห่งเรื่องที่มุสาจะก่อให้เกิดขึ้นได้เพียงไรและเจตนา(ความจงใจ) แรงเท่าไรกิริยาที่ประกอบมุสาวาท ใช้พยายามเท่าไรเวรมณี คือความเว้นจากมุสาทุกอย่าง เป็นศีลข้อ ๔ นี้ ถ้าเว้นด้วยตั้งใจรับศีลไว้ก่อนเป็น สมาทานวิรัติ ถ้าเว้นด้วยตั้งใจขึ้นเดี๋ยวนั้นเอง ในขณะที่พบโอกาสจะพูดเท็จได้ เป็น สัมปัตตวิรัติถ้าเว้นได้จนเป็นปกตินิสัยจริงๆ ก็เป็นสมุจเฉทวิรัติเมื่อรับศีลข้อนี้ไว้แล้ว ทำอย่างไรศีลจึงจะขาด ให้กำหนดมองดูลักษณะดังนี้ คือ จิตคิดจะพูดให้ผิดไปจากความจริงทั้งรู้อยู่ มีความพยายามจากจิตนั้น และคนอื่นรู้เข้าใจความเช่นพูดกันด้วยภาษาไทยแก่คนที่รู้ภาษาไทย เขาฟังออกว่าพูดอย่างไร หรือใช้กิริยาสั่นศรีษะ เขาเห็นแล้วเข้าใจความประสงค์ว่าปฏิเสธ ใช้กิริยาพยักหน้าเขาก็เข้าใจว่ารับรองถ้าคนอื่นไม่รู้เข้าใจความหมาย เหมือนอย่างพูดปดด้วยภาษาไทย แก่คนไม่รู้ภาษาไทย เขาฟังไม่รู้ว่าอะไรศีลก็ยังไม่ขาด ผู้ที่ตั้งใจรักษาศีลข้อนี้ ควรเว้นจากมุสาวาทโดยตรง ดังเช่นที่กล่าวแล้วควรเว้นจากมุสาวาทโดยทางอ้อมด้วย เช่น พูดส่อเสียด พูดเสียดแทง ประชดหรือด่า พูดสับปรับ เหลวไหลเมื่อทำสัญญากันไว้แล้วก็รักษาสัญญา ไม่บิดพลิ้วทำให้ผิดสัญญาเมื่อให้สัตย์แก่กันไว้แล้วก็รักษาสัตย์ ไม่กลับสัตย์หรือเสียสัตย์ เมื่อรับคำแล้วไม่คืนคำรวมความว่าให้รักษาสัจวาจา คือ ให้พูดจริงและให้ทำจริงดังพูด การพูดจริงนั้นง่ายกว่าพูดเท็จเพราะไม่ต้องคิดประดิษฐ์เปลี่ยนแปลงเรื่อง พูดตรงไปตามเรื่องเท่านั้นแต่การพูดเท็จต้องคิดประดิษฐ์เปลี่ยนแปลงยากที่จะโกหกได้สนิท มักมีพิรุธให้จับได้ไม่ช้าก็เร็วแต่การทำจริงดังพูดอาจยากสำหรับคนที่ชอบพูดอะไรพล่อยๆ แต่ไม่ยากสำหรับคนที่ตริตรองแล้วจึงพูดใครก็ตามจะรักษาสัจวาจาได้ต้องมีธรรมที่คู่กับศีลข้อนี้ในจิตใจ คือความมีสัตย์ธรรมที่คู่กับศีลข้อ ๔ คือ ความมีสัตย์ ได้แก่มีความจริง ความตรง คนที่มีความจริง จะเป็นเด็กก็ตามผู้ใหญ่ก็ตาม ย่อมเป็นคนซื่อตรงต่อมิตรสหาย สวามิถักดิ์คือจงรักภักดีในเจ้าของตนมีความกตัญญูกตเวทีในท่านผู้มีพระคุณ มีความยุติธรรมหรือเที่ยงธรรมรู้จักผิดรู้จักถูกและว่าไปตามผิดตามถูกในบุคคลในเรื่องทั่วไป กล่าวโดยเฉพาะ ก็เป็นคนมีวาจาสัตย์พูดป็นที่เชื่อถือได้ศีลคือมุสาวาทา เวรมณี (เว้นจากการกล่าวเท็จ) และธรรมคือความมีสัตย์นี้ จำเป็นแก่สังคมมนุษย์ทุกสังคมเป็นต้นว่าในระหว่างเพื่อน ในระหว่างสามีภรรยาหรือครอบครัว ขึ้นไปจนถึงในระหว่างประเทศเมื่อต่างมีศีลและธรรมคู่นี้ จึงอยู่ด้วยกันเป็นปกติเรียบร้อย เชื่อถือกันได้ ไว้ว่างใจกันได้ ผู้ปกครองประชาชนตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อรักษาศีลและธรรมคู่นี้อยู่เป็นที่เชื่อถือทั้งในประเทศและทั้งต่างประเทศ คือ ภายในประเทศ ก็ไม่หลอกหลวงประชาชนรักษาสัตย์ต่อประชาชน สำหรับที่เกี่ยวกับต่างประเทศ ก็รักษาสัญญาที่ทำไว้ต่อกัน เป็นต้นพระมหากษัตริย์ตั้งแต่โบราณกาลมา ปรากฏในเรื่องต่างๆ ว่าได้ทรงรัษาวาจาสัตย์อย่างกวดขันบางพระองค็แม้จะรับสั่งพลั้งพระโอษฐ์ออกไปก็ไม่ทรงคืนคำ ด้วยทรงถือเป็นพระราชธรรมว่าเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ..มนุษยธรรม..พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

28 มิถุนายน 2553

เข็มนาฬิกาบอกอะไรเรา

ก้มลงไปมองเข็มนาฬิกาข้อมือ ที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นด้ายเส้นสั้นๆ วางบนหน้าปัดทรงกลม ซึ่งมีจุดหมุนที่เกือบจะถึงปลายอีกด้านหนึ่ง ที่ทำหน้าที่หมุนเข็มเล็กๆให้เคลื่อนไหวเป็นวงกลมไม่เคยหยุด นอกจากเสียว่าพังหรือถ่านหมดเท่านั้นเอง ขนาดเรียวเล็กของเข็ม ทำให้สัมผัสความพิ้วไหวของกาลเวลาในขณะมันเดินทุกวินาทีทุกๆครั้ง เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆทำให้เรารู้ถึงเวลา ณ ปัจจุบัน ทำให้เราคำนึงถึงว่า ตอนนี่เราทำอะไรอยู่ รู้สึกร้อน หนาว หาว เหม่อ คิดถึงใครสักคน ในอีกด้านหนึ่ง นาฬิกาก็เป็นเพชรฆาต ที่กลืนกินเวลาแห่งชีวิตของทุกสรรพสิ่ง ให้เหลือน้อยลงทุกทีที่มันมีการเคลื่อนไหว ในตอนนี่ผมอยากให้ทุกๆคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำกัดว่าจะเป็นใคร มาจากใหนหนใด ที่ใหน อย่างไร มีแค่เพียงความสามารถในการ พิจารณา ในการติตรอง ว่าในเวลาที่เสียไปนั้น เราใช้มันคุ้มหรือยัง เต็มที่กับทุกนามีใหม มีอะไรที่อยากจะทำในเวลานั้น แต่ยังไม่ได้ทำ ที่ยังค้างคาในใจ เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ผมขอแนะนำว่า เก็บมันไว้ก่อน กลับมาใส่ใจในรายละเอียดและเข้มข้นกับปัจจุบันจะดีกว่า





"เวลามันคล้ายสายลมที่พัดผ่านตัวเรา จะต่างกันตรงที่เวลามันไม่สามารถย้อนกลับมาทำหน้าที่ของมัน ณ จุดเวลานั้นได้อีกครั้ง"